ภาวะขาดน้ำ (Dehydration)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 21 มิถุนายน 2563
- Tweet
- บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
- ภาวะขาดน้ำเกิดได้อย่างไร?
- อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ?
- ภาวะขาดน้ำมีอาการอย่างไร?
- แพทย์วินิจฉัยภาวะขาดน้ำได้อย่างไร?
- รักษาภาวะขาดน้ำอย่างไร?
- ภาวะขาดน้ำรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?
- ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
- ป้องกันภาวะขาดน้ำได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
- น้ำ (Human body water)
- สมดุลของเกลือแร่ สมดุลของน้ำและเกลือแร่ (Fluid electrolyte balance)
- เกลือแร่ในเลือด (Blood electrolyte)
- ท้องเสีย ท้องร่วง ท้องเดิน (Diarrhea)
- คลื่นไส้ อาเจียน (Nausea and Vomiting)
- โรคลมแดด โรคจากความร้อน (Heatstroke/Heat illness)
- โออาร์เอส (ORS: Oral rehydration salt) หรือ ผงละลายเกลือแร่ (Electrolyte powder packet)
- ไตวาย ไตล้มเหลว (Renal failure)
- ความดันโลหิตต่ำ (Hypotension)
- ความดันโลหิตต่ำเมื่อลุกยืน (Orthostatic hypotension)
บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
ภาวะขาดน้ำ (Dehydration) คือ ภาวะที่ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่บางชนิดจนอวัยวะต่างๆไม่สามารถทำงานตามปกติได้จนก่อให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆขึ้น ซึ่งเกลือแร่ที่สำคัญ เช่น โซเดียม (Sodium), โพแทสเซียม (Potassium), คลอไรด์ (Chloride), ไบคาร์บอเนต (Bicarbonate), และแมกนีเซียม (Magnesium)
ภาวะขาดน้ำ เป็นภาวะพบบ่อย โดยมากมักเกิดจากอาการท้องเสีย (ท้องเดิน)รุนแรง หรือที่เรียกว่า ‘ท้องร่วง’ ภาวะขาดน้ำพบทุกเพศและทุกวัย โดยเมื่อมีท้องเสีย โอกาสเกิดภาวะขาดน้ำจะพบได้สูงในเด็ก (นิยามคำว่าเด็ก)โดยเฉพาะเมื่ออายุต่ำกว่า 5 ปี และในผู้สูงอายุ
ภาวะขาดน้ำเกิดได้อย่างไร?
ภาวะขาดน้ำ มีกลไกเกิดได้จาก การดื่มน้ำน้อย, การเสียน้ำจากทั้งดื่มน้ำน้อยและเสียน้ำพร้อมๆกัน, และ/หรือ จากภาวะผิดปกติบางอย่างหรือจากบางโรค
ก. จากดื่มน้ำน้อย:
- เมื่อร่างกายเสียน้ำมากกว่าปกติ เช่น จากเหงื่อออกมากแต่เราดื่มน้ำชดเชยได้น้อย ร่างกายจะเกิดภาวะขาดน้ำได้ เช่น ในหน้าร้อนที่อาจเกิดโรคลมแดดได้
- หรือในภาวะร่างกายปกติ แต่เราดื่มน้ำน้อยจนปริมาณน้ำในเลือดไม่พอต่อการคงความดันโลหิต ดังนั้นเมื่อเราเปลี่ยนท่าทางจาก นอน หรือ จากนั่ง เป็นการลุกขึ้นยืนทันที จะก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำชั่วคราวทันที (วิงเวียน หน้ามืด จะเป็นลม จนเกิดการล้มได้)จากการลดลงของปริมาณการไหลเวียนเลือด เพราะเลือดส่วนหนึ่งไปขังอยู่ที่ขาตามแรงโน้มถ่วงของโลก กลไกนี้พบบ่อยในผู้สูงอายุ หรือจากการดื่มน้ำน้อยเมื่อมีอาการไข้สูง เป็นต้น
ข. จากร่างกายเสียน้ำ: เป็นกลไกที่เป็นสาเหตุบ่อยที่สุดของภาวะขาดน้ำ การที่ร่างกายเสียน้ำซึ่งมักเกิดร่วมกับการเสียเกลือแร่ โดยสาเหตุที่พบบ่อย คือ
- จากท้องเสียรุนแรง
- นอกจากนั้น เช่น
- อาเจียนมาก
- เหงื่อออกมาก เช่น ในฤดูร้อน ในที่แออัด ในสถานที่อบอ้าว
- หรือโรคที่เป็นสาเหตุให้ปัสสาวะมากผิดปกติ เช่น โรคไตเรื้อรังบางชนิด โรคเนื้องอกสมองบางชนิด โรคเบาหวาน โรคเบาจืด
ค. จากทั้งดื่มน้ำน้อยและเสียน้ำพร้อมๆกัน: เช่น ในฤดูร้อน, เมื่อมีไข้สูง,
ง. ภาวะผิดปกติบางอย่างหรือบางโรคที่ทำให้น้ำและเกลือแร่ในร่างกายซึมออกจากหลอดเลือดเข้าไปอยู่ในเนื้อเยื่อหรือในช่องต่างๆของร่างกาย: ส่งผลให้น้ำและเกลือแร่ในหลอดเลือดลดปริมาณลง จนส่งผลต่อเนื่องให้ความดันโลหิตต่ำลง จนก่ออาการจากการขาดน้ำได้ เช่น ในโรคไข้เลือดออกระยะรุนแรง, ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ) โรคตับแข็งในระยะมีน้ำในช่องท้อง, และภาวะผิวหนังถูกไฟไหม้รุนแรง
อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ?
ปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ ได้แก่
- ท้องเสียรุนแรง
- อาเจียนต่อเนื่อง
- เหงื่อออกมากผิดปกติ เช่น ฤดูร้อน หรือ สถานที่อบอ้าว
- ปัสสาวะมากผิดปกติ เช่น โรคไตเรื้อรังบางโรค โรคเบาหวาน โรคเบาจืด
- มีไข้สูง เพราะเป็นสาเหตุให้เหงื่อออกมาก และหลอดเลือดขยายตัว จึงเสียน้ำทางผิวหนัง และทางการหายใจเพิ่มขึ้น
- คลื่นไส้ เบื่ออาหาร และ/หรือความรู้สึกรับรสอาหารเปลี่ยน จึงไม่อยากดื่มน้ำ
- เจ็บคอ และ/หรือ มีแผลในช่องปาก จึงไม่อยากกิน หรือ ดื่มน้ำ
- ภาวะผิวหนังถูกไฟไหม้รุนแรง
- โรคต่างๆที่เป็นสาเหตุให้เกิดภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด และ/หรือ ในช่องท้อง เช่น โรคไข้เลือดออกระยะรุนแรง
- ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ)
- คนที่เสียเหงื่อมาก เช่น ทำงานในสถานที่อบอ้าว กลางแดดจัด หรือในฤดูร้อน หรือ นักกีฬา
ภาวะขาดน้ำมีอาการอย่างไร?
อาการจากภาวะขาดน้ำ แบ่งความรุนแรงของอาการเป็น 2 ระดับ คือ ความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง, และความรุนแรงมาก
ก. อาการขาดน้ำที่รุนแรงน้อยถึงปานกลาง ได้แก่
- กระหายน้ำ
- ผิวแห้ง
- ริมฝีปาก ช่องปากแห้ง
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ค่อนข้างซึม
- ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ
- ท้องผูก
- เด็กอ่อน เด็กเล็ก เมื่อร้องไห้จะมีน้ำตาน้อย
- ปวดหัว มึนหัว วิงเวียน
ข. อาการจากขาดน้ำรุนแรง ซึ่งควรต้องพบแพทย์ฉุกเฉิน/ทันที เช่น
- กระหายน้ำรุนแรง
- สับสน
- กระสับกระส่าย หรือ ซึมมาก
- ผิวหนังแห้งมาก ยกจับตั้งได้
- ปากคอแห้งมาก
- ตาลึกโหล
- ไม่มีเหงื่อ
- ปัสสาวะน้อยมาก สีเหลืองเข็มมาก หรือ ไม่มีปัสสาวะเลยใน 4-6 ชั่วโมง
- ในเด็กอ่อน: กระหม่อมจะบุ๋มลึก ร้องไห้ไม่มีน้ำตา
- ชีพจรเต้นเร็ว
- หายใจ ถี่ เร็ว
- มีไข้ มักเป็นไข้ต่ำ แต่บางคนไข้สูงได้
- ความดันโลหิตต่ำ
- เมื่อเป็นรุนแรงอาจ เพ้อ มีอาการชัก และโคม่า ในที่สุด
แพทย์วินิจฉัยภาวะขาดน้ำได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยภาวะขาดน้ำได้จาก
- ประวัติอาการของผู้ป่วย ประวัติโรค/ภาวะที่เป็นสาเหตุ
- การตรวจร่างกาย และ การตรวจสัญญาณชีพ (ชีพจร, อัตราการหายใจ, ความดันโลหิต, และอุณหภูมิของร่างกาย)
- ตรวจเลือดเพื่อดูค่าเกลือแร่
- อาจมีการตรวจเพื่อการสืบค้นอื่นๆเพิ่มเติมขึ้นกับ อาการผู้ป่วย และดุลพินิจของแพทย์ เช่น
- ตรวจเลือดดูน้ำตาลในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรคเบาหวาน
- ตรวจเลือดซีบีซี (CBC) ดูการติดเชื้อแบคทีเรีย
- ตรวจเลือดดูการทำงานของ ไต ตับ
รักษาภาวะขาดน้ำอย่างไร?
แนวทางการรักษาภาวะขาดน้ำ ได้แก่
ก. การแก้ไขให้ร่างกายมีน้ำเพียงพอและให้เกลือแร่สำคัญต่างๆกลับมามีสมดุลตามปกติ: ซึ่งได้แก่ การดื่มน้ำมากๆเพิ่มกว่าปกติ และ/หรือการดื่มน้ำเกลือแร่ (โออาร์เอส)ในกรณี เสียเหงื่อ ท้องเสีย หรือ อาเจียน เมื่อมีอาการไม่มาก และยังกิน ดื่มได้, แต่กรณีอาการรุนแรง การรักษาคือ การให้น้ำและเกลือแร่ผ่านทางหลอดเลือดดำ
ข. การรักษาสาเหตุ: เช่น การให้ยาปฏิชีวนะเมื่อท้องเสียเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น
ค. การรักษาตามอาการ เช่น การพักผ่อน, ให้ยาลดไข้กรณีมีไข้, ให้ยาแก้คลื่นไส้-อาเจียนกรณีมีคลื่นไส้-อาเจียน
ภาวะขาดน้ำรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?
โดยทั่วไป เมื่อได้รับการรักษาทันเวลา ภาวะขาดน้ำมักไม่รุนแรง รักษาแก้ไขได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อปล่อยให้อาการรุนแรงมาก ความรุนแรงจะสูงจนอาจถึงตายได้
ทั้งนี้ ความรุนแรงของภาวะขาดน้ำยังขึ้นกับ:
- สาเหตุ: เช่น ถ้าเกิดจากดื่มน้ำน้อย ความรุนแรงก็จะน้อย
- อายุ: เช่น ความรุนแรงจะสูงขึ้นในผู้ป่วยเด็ก(นิยามคำว่าเด็ก)โดยเฉพาะเด็กอ่อนและเด็กเล็ก, รวมทั้งผู้สูงอายุ เพราะเป็นผู้ที่ดูแลตนเองไม่ได้ หรือ ได้น้อย และร่างกายอ่อนแอจากมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ
*ในส่วน ผลข้างเคียงจากภาวะขาดน้ำ
ก. เมื่อขาดน้ำไม่มาก: คือ ภาวะความดันต่ำเมื่อลุกขึ้นยืน ดังได้กล่าวแล้ว
ข.เมื่อขาดน้ำมาก: อาจเกิด
- การล้มจากวิงเวียนจากความดันโลหิตต่ำซึ่งอาจก่อให้เกิดกระดูกหัก และ/หรือ อุบัติเหตุต่อศีรษะ/สมอง
- เมื่อความดันโลหิตต่ำมากๆอาจส่งผลให้เกิดไตวายเฉียบพลัน
ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
การดูแลตนเอง การพบแพทย์เมื่อมีภาวะขาดน้ำ ได้แก่
- ดื่มน้ำให้พอเพียงอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว และดื่มให้มากขึ้นเมื่อมีภาวะที่ต้องเสียน้ำเพิ่มขึ้น เช่น เล่นกีฬา หรือ มีไข้
- เมื่อมีท้องเสีย และอุจจาระเป็นน้ำหลายครั้ง หรือ อาเจียนมาก จนรู้สึกอ่อนเพลีย นอกจากดื่มน้ำแล้ว ยังควรดื่มน้ำผงละลายเกลือแร่ (โออาร์เอส)ด้วย
- *รีบพบแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง เมื่อ
- ซึม, จะเป็นลม, วิงเวียน, หน้ามืด, ใจสั่น, สับสน
- มีไข้สูง
- กิน ดื่ม ได้น้อย
- ท้องเสียมาก
- อาเจียนมาก หรือ อาเจียนนานเกิน 2-3 วัน
- ปัสสาวะน้อยทั้งๆที่ดูแลตนเองแล้ว
- *พบแพทย์ฉุกเฉิน เมื่อ
- มีอาการขาดน้ำรุนแรง ดังกล่าวแล้ว ใน’หัวข้อ อาการฯ’
- กิน ดื่ม ไม่ได้เลย
- อาเจียนเป็นเลือด หรือ อุจจาระเป็นเลือด
ป้องกันภาวะขาดน้ำได้อย่างไร?
ป้องกันภาวะขาดน้ำได้โดย
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อลดโอกาสเกิดโรคติดเชื้อทางเดินอาหาร เพื่อลดโอกาสเกิดอาการ ไข้ ท้องเสีย และคลื่นไส้-อาเจียน
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอในทุกๆวัน อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้วเมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม
- ดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้น อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว (หรือให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำที่สูญเสียไป) เมื่อต้องเสียเหงื่อ หรือ เสียน้ำเพิ่มขึ้น เช่น เล่นกีฬา มีไข้ ท้องเสีย
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อบอ้าว หรือ แสงแดดจัด อาจร่วมกับการดื่มน้ำผงละลายเกลือแร่(โออาร์เอส) ตามปริมาณน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป
- ป้องกัน รักษา ควบคุม โรคที่ทำให้มีปัสสาวะมาก เช่น โรคเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง โรคเบาจืด
บรรณานุกรม
- Goh, K. (2004). Management of hyponatremia. Am Fam Physician. 69, 2387-2394.
- https://en.wikipedia.org/wiki/Dehydrationv [2020,June13]
- https://emedicine.medscape.com/article/906999-overview#showall [2020,June13]